Welcome to T.H.N-Guidance ยินดีต้อนรับสู่...งานแนะแนวโรงเรียนถาวรานุกูล จังหวัดสมุทรสงคราม
ยินดีต้อนรับสู่ Blog T.H.N-Guidance.......
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู for Information and Communication Technology Teachers

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

10  สิ่งที่นักเรียนที่จะAdmission ต้อง ลด ละ  เลิก
ลด = การทำให้น้อยลง ทั้งปริมาณและความถี่ พี่มิ้นท์ขอแนะนำให้น้องๆ ลดสิ่งเหล่านี้
               
1) ลดโซเชียลเน็ตเวิร์คกวนใจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไลน์ วอทแอพ อินสตาแกรม ฯลฯ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีมือถือ กดแอพครั้งเดียวก็เข้าสู่วงจรโซเชียลมีเดียแล้ว เข้าใจว่าน้องๆ ยังต้องติดตามข่าวสารแอดมิชชั่นกันอยู่ ดังนั้นจะไม่ขอให้น้องเลิก แต่แนะนำให้ลดเวลาการเล่น เอ้ย! เวลาใช้งานลงหน่อย จากเดิมที่เคยเข้าทุกวัน อัพเดททุกนาที ก็เข้ามาเฉพาะเวลาจำเป็นในการติดตามข่าวสาร พี่มิ้นท์จัดมาไว้อันดับ 1 ก็เพราะรู้ว่าเจ้าตัวนี้เป็นอุปสรรคหนักอึ้ง ถ้าลดเวลาเล่นลงได้ ก็ชนะใจตัวเองได้ คณะในฝันก็อยู่แค่เอื้อมค่ะ
               
2) ลดเม้าธ์มอยกับเพื่อนดึกๆ ทุกคืน เชื่อว่ากิจวัตรอย่างนึงของน้องๆ คือ การคุยโทรศัพท์ก่อนนอนเป็นชั่วโมงๆ วันไหนไม่ได้คุยจะรู้สึกอึดอัดเหมือนใครเอาอะไรมาปิดปากไว้ น้องๆ รู้มั้ยคะว่าถ้าเอาเวลาที่น้องๆ คุยโทรศัพท์ในแต่ละวันมารวมกัน อาจทำให้อ่านหนังสือจบได้หลายเล่มเลยทีเดียว ดังนั้นคุยแต่พอดี แล้วเอาเวลามาอ่านหนังสือหรือนอนพักผ่อนดีกว่าจ้า
              
  3) ลดโปรแกรมเที่ยว ช้อปปิ้งหลังเรียนพิเศษ ใครเรียนพิเศษเสร็จแล้วกลับบ้านเลย ยกมือขึ้น!! ........(เงียบ) และนี่ก็คือที่มาที่เกิดข้อควรลดในข้อนี้ เพราะกว่า 70% ของน้องๆ ที่เรียนพิเศษ โดยเฉพาะในย่านการค้า ก็มักจะเดินเล่นช้อปปิ้งต่อ ในช่วงเตรียมแอดฯ แบบนี้ ลดเวลาเที่ยวลงหน่อยก็ดีนะคะ :D ไว้สอบเสร็จค่อยออกเที่ยวกัน ที่สำคัญเอาค่าใช้จ่ายในการช้อปปิ้งมาเป็นค่าสมัครสอบดีกว่า มีประโยชน์กว่าแล้วไม่ต้องรบกวนพ่อแม่หลายๆ รอบด้วย
              
4) ลดการนอนตื่นสาย แฮปปี้ไทม์ของเด็กไทยคือ เช้าวันเสาร์และอาทิตย์ เพราะได้นอนตื่นสาย บางคนตื่นตอนตะวันตั้งฉากกับพื้นดินแล้ว ใครที่เป็นแบบนี้อยู่ ถือว่าพลาดมาก เพราะช่วงเช้าๆ ยิ่งเช้ามืดยิ่งดี เหมาะกับการอ่านหนังสือมากที่สุด ทางที่ดีนอนแต่หัวค่ำ และตื่นมาตอนเช้า มาดูว่าโลกตอนเช้านั้นน่าอยู่แค่ไหน
        ละ = ถ้าเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ก็เลี่ยงซะ (แต่ไม่ได้บังคับนะ^^)
             
  1) ละการดูละคร นิยาย ซีรีย์เกาหลี ของบันเทิงช่วงปิดเทอมทั้งหลาย ทั้งละครภาคค่ำ นิยายที่กองเกลื่อนโต๊ะ หรือซีดีหนังที่เพิ่งเช่ามา ถ้าละได้ก็ละดูบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้เหมือนสิ่งเสพติดที่ดูแล้ววางไม่ลงจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้าหลวมตัวไปดู แน่นอนว่าต้องใช้เวลาอยู่กับมันไปหลายชั่วโมง ดังนั้นลองดูเฉพาะเวลาที่เครียดหรือต้องการพักผ่อนดีกว่า
             
  2) ละคำเชิญชวนของเพื่อนๆ ที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตสุดพิเศษ ละครเวทีสุดประทับใจ ใครชวนไปกินไปเที่ยวก็ลองปฏิเสธและเลี่ยงไม่ไปบ้าง เพื่อนคงไม่โกรธเราหรอกค่ะ เพราะไปแต่ละครั้ง นอกจากจะใช้เวลาทั้งวันแล้ว ยังเปลืองเงินโดยใช่เหตุ ที่สำคัญกลับมายังต้องอัพรูป กดไลค์ แชร์ในเฟซบุ๊กอีก โห...หลายต่อเลยนะเนี่ย ดังนั้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้าไม่ได้กวดวิชาที่ไหน ก็ละเรื่องเที่ยวสังสรรกับเพื่อน แล้วกลับมาอยู่กับตัวเองดีกว่าค่ะ
              
3) ละเรื่องดราม่าทั้งหลายแหล่ แค่เรื่องสอบก็เครียดหัวฟูอยู่แล้ว พวกเรื่องดราม่าอื่นๆ ประเภท การเมือง หรือการไซโคคะแนนกัน ใครได้เท่าไหร่ สอบติดที่ไหน ก็ช่างเขา(เดี๋ยวเราก็ติดแน่นอน) อย่าเอามาใส่ใจให้รกสมอง มีสติและสมาธิกับสิ่งที่เราทำดีที่สุดนะคะ
       
  เลิก = ตัดขาดจากมันให้ได้!!
              
1) เลิกพูดคำว่า "เดี๋ยวก่อน" ซักที คำนี้เหมือนคำโกหกยังไงก็ไม่รู้ เพราะพูดทีไร ความหมายของมันคือ "ไม่ทำ" หรืออีกสามชั่วโมงค่อยทำ ระวังจะเข้ามหาลัยปีหน้า เพราะคำว่าเดี๋ยวก่อนนะคะ ถ้าอยากเลิกนิสัยแบบนี้ก็ไม่ยาก แค่ลงมือทำทันทีที่คิดว่าจะทำอะไร จะอ่านหนังสือก็อ่านเลย จะทำแบบฝึกหัดก็ทำเลย จบ!!
              
2) เลิกนั่งแช่ที่โรงเรียนโดยไม่จำเป็น ในโรงเรียนมีเพื่อน มีพี่ มีน้อง มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย หลายคนจึงเลือกนั่งแช่ที่โรงเรียนก่อนกลับบ้าน แต่สำหรับเวลาเตรียมแอดที่เหลือน้อยเต็มที หากไม่มีกิจกรรมอะไรโดยตรง พี่มิ้นท์ว่ารับกลับบ้านดีที่สุดนะคะ รถไม่ติดด้วย เอาเวลานี้ไปสรุปเนื้อหาที่เรียนแล้วเตรียมอ่านก่อนสอบดีกว่าค่ะ ยิ่งช่วงนี้หน้าฝน ต่อไปก็หน้าหนาว ท้องฟ้าจะมืดเร็ว อันตรายค่ะ
              
3) เลิกดองงาน อู้งาน การเรียนของเด็กไทยคู่กับการบ้าน หากชิ้นแรกไม่ทำ ชิ้นสองไม่ทำ งานก็จะกองสุมทับจนหายไม่ออก สุดท้ายเวลาที่ต้องอ่านหนังสือก็ต้องเอามาเคลียร์การบ้าน แบบนี้ไม่เวิร์คแน่นอนค่ะ ดังนั้นมีงานมาเมื่อไหร่ก็รีบจัดการให้เสร็จ สบายใจดีค่ะ ใครการบ้านสุมหัวอยู่ ลองเอา "วิธีจัดการการบ้าน" ของพี่มิ้นท์ไปจัดการดูนะคะ
                
4 ลด 3 ละ 3 เลิก รวมเป็น 10 สิ่งที่เด็กเตรียมแอดควรปรับพฤติกรรม เพราะช่วงเตรียมแอดเป็นช่วงที่ควรทุ่มเทเวลาให้มากที่สุด ซึ่งน้องๆ จะเห็นว่าแต่ละอย่างเกี่ยวข้องกับเวลาทั้งนั้น ดังนั้นฝากน้องๆ ลองนำไปพิจารณาดูนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมพักผ่อนด้วย สมองดีแล้วร่างกายก็ต้องพร้อมด้วย ทั้งหมดนี้ก็แค่ช่วงแอดมิชชั่นเท่านั้น พอแอดมิชชั่นติด ไลฟ์สไตล์เราก็จะกลับมาเหมือนเดิมค่ะ ทนอีกนิดเดียวนะคะ สู้ๆ
 ที่มา http://www.dek-d.com/content/admissions/29577/10

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

        UploadImage

“สมาธิ” ความจำเป็นต่อการทำกิจกรรม เพราะการที่เราจะทำกิจกรรมอะไรให้ดีนั้น เราทุกคนต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ตั้งใจทำ เพื่อให้ผลที่ออกมาได้ดังที่เราตั้งไว้
วันนี้พี่จึงมีสาระดีๆเกี่ยวกับการเรียน ที่เชื่อมโยงเรื่องของสมาธิมาแบ่งปันให้น้องๆค่ะ ไปติดตามกันเลยค่ะ

สาเหตุของการไม่มีสมาธิ
๑. ขาดความสนใจในสิ่งที่ทำ
๒. สนใจในสิ่งที่ทำมากจนเกินไป
๓. สนใจหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน
๔. ความเป็นคนหัวดี ปัญญาดี ทำให้คิดไปที่อื่นเร็ว
๕. จิตครอบงำด้วยนิวรณ์

การสร้างนิสัยให้มีสมาธิในชีวิตประจำวัน
๑. สร้างนิสัย ลงมือทำทันที
๒. สร้างนิสัย เรียนล่วงหน้า มิใช่แค่ เรียนตาม
๓. สร้างนิสัยมุ่งมั่นว่า ?ถ้าทำไม่เสร็จจะไม่ใส่ใจอะไรอื่น
๔. จัดลำดับของเรื่องที่จะทำก่อนลงมือ
๕. หัดคิดทีละเรื่อง โดยให้เจาะลึกในเรื่องนั้นๆ อย่าผิวเผิน
๖. สร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะแก่การมีสมาธิ
๗. รู้จักพักเป็นช่วงๆ
๘. สร้างความเต็มใจและจริงใจที่จะทำสิ่งนั้นๆ
๙. พยายามหัดคิดในเรื่องสร้างสรรค์
๑๐. เลิกนิสัยมากเรื่องในการจะทำอะไรสักอย่าง

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ได้แนะนำวิธีการทำสมาธิในห้องเรียนว่า
๑. หาที่นั่งที่สามารถมองเห็นครูและกระดานได้ชัดเจน
๒. เมื่อครูเดินเข้ามา ส่งจิตไปรวมที่ครูผู้สอน
๓. จับใจความให้ได้ตามที่ครูต้องการ
๔. เวลาว่างแทนที่จะนั่งคิดสิ่งอื่น ก็นำบทเรียนมาคิด
๕. ให้สติรู้ตัวทุกอิริยาบถ ในการทำ พูด คิด
ขอบคุณสยามเซาท์
เห็นกันรึยังคะว่าการมีสมาธิในการเรียน ส่งผลดีมากแค่ไหน ดังนั้นเรามาเริ่มกันวันนี้เลยนะคะ มาตั้งสติ และทำสมาธิไปพร้อมๆกัน ทุกอย่างไม่ยากอย่างที่คิดหรอกค่ะ ในครั้งต่อไป พี่จะมีสาระดีๆอะไรมาฝาก ก็ขอให้น้องๆติดตามด้วยนะคะ

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สวัสดีค่ะ 
         เดือนกุมภาพันธ์  เป็นเดือนที่หนุ่มสาว  วัยรุ่นเรียกว่าเป็นเดือนแห่งความรัก  แต่จริง ๆ แล้ว  ทุกวัน  ทุกเดือนและทุกปีเป็นวัน  เดือนและปี  แห่งความรักทั้งนั้น  ก่อนที่จะรักใครแบบทุ่มเทให้ทุกอย่าง....จงรักตัวเองก่อน  แล้วความทุกข์จะไม่มาแวะทักทายหรืออาศัยอยู่กับคุณเลยนะคะ   วันนี้มีเรื่องราวมาฝากทุกท่านไว้เป็นข้อคิด  โดยเฉพาะวัยรุ่นที่กำลังมีความรัก...นะคะ
ดวงจันทร์สองดวง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง  ดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิง ..และ.. อีกดวงเป็ผู้ชายดวงจันทร์ทั้ง 2 ดวงนี้ต่างรักกันและไม่เคยแยกห่างจากกัน  ทุกๆคืนเมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าจะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่อยู่เคียงกัน
…แต่แล้ววันหนึ่ง…ดวงจันทร์ผู้หญิงก็ได้ไปพบกับดวงอาทิตย์  ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงหลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์  จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไปทีละน้อย ทีละน้อยและแล้วก็แยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งในที่สุด  เมื่อค่ำคืนมาถึงจึงมีดวงจัทร์ผู้ชายเหลืออยู่เพียงดวงเดียว  ดวงจันทร์ผู้ชายจึงได้แต่ออกตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนแห่ง..คืนแล้วคืนเล่า…จนเวลาล่วงผ่านไป…ดวงจันทร์ผู้ชายก็ยังไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงเจอ  ด้วยความคิดถึงและอยากพบดวงจันทร์ผู้หญิงเป็นที่สุด ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า "หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้คงไม่ได้เจอหญิงที่เรารักเป็นแน่แท้”  จึงตัดสินใจระเบิดตัวเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั่วจักรวาล เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงนั้น

 
…เมื่อเวลาผ่านไป…ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้เห็นถึงความจริงว่า..แม้ว่าดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าสวยงามสักเพียงใดแต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้าแต่เพียงเธอเท่านั้น  แต่ยังส่องแสงไปที่ดาวดวงอื่นๆอีกมากมาย ดวงจันทร์ผู้หญิงจึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง  แต่หาเท่าไหร่ก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ ต่อมาจึงได้รู้ว่า ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเองเพื่อตามหาตนจนกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้รู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอกับดวงจันทร์ผู้ชายอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจ แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดวงจันทร์ผู้ชายมีให้กับดวงจันทร์ผู้หญิง ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสงที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดของตนส่งให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิง  เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์ จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาวให้เรืองแสงให้เห็นจนถึงทุกวันนี้..
หากเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน  วันไหนที่เห็นจันทร์สวยสด วันนั้น..คุณก็จะไม่เห็นดาวดวงเล็กดวงน้อย  หากวันไหนคุณเห็นดาวเปล่งประกายเต็มท้องฟ้า  วันนั้น..คุณก็จะไม่พบดวงจันทร์

 
สุดท้าย…. เขาและเธอก็ไม่พบกัน…ตลอดกาล

 
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกใครที่ดีกว่า จงใช้สติและเหตุผลในการเลือก  อย่าเลือกเพราะรูปลักษณ์ภายนอก  อย่าเลือกเพราะการเอาอกเอาใจ  อย่าเลือกเพราะคารมณ์อ่อนหวาน  แต่จงเลือกด้วยเหตุผลของความดีงาม....

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

Positive_Thinking

นำแนวคิดนี้มาฝาก  เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ปฏิบัติตามชีวิตจะมีความสุข

คิดบวก ชีวิตบวก แนวคิด จากท่าน ว. วชิรเมธี





เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ



เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเอียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ(perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงมีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้ชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

 เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจนความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดังใจหวัง

เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบว่าที่ "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

 เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
เครดิต   http://www.thaihealth.or.th/node/12282

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ทำคะแนนวิชาสังคม..ให้เต็มร้อย

"วิชาสังคมศึกษา" แค่ได้ยินชื่อวิชาขึ้นมา หลายคนก็เตรียมหมอนนอนรอแล้ว เด็กไทยแปลกดีนะ พวกวิชาคำนวณ อย่างคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็ไม่ชอบ ภาษาต่างประเทศก็ไม่ชอบ วิชาง่ายๆ อย่างภาษาไทยก็ไม่ชอบ ส่วนวิชาสังคมยิ่งไม่ต้องพูดถึง เข้าไปหลับอย่างเดียว  สาเหตุที่น้องๆ ไม่ค่อยชอบวิชานี้ ลองสรุปมาประมาณนี้ ลองมาดูว่าจริงมั้ย            
1. เนื้อหาเยอะมาก ไม่รู้จะเยอะไปไหน เรียนสิบปีก็ยังไม่หมดซักที 2. เป็นวิชาที่ยาก ใช้ความจำล้วน คนความจำสั้นอย่างเราก็จำไม่เคยได้ซักที
3. ไม่รู้ว่าเรียนแล้วเอามาใช้อะไร             สังคม เป็นวิชาที่ยากจริง แต่ก็สนุกทุกครั้งที่ได้เรียน มีหลายเรื่องให้ได้เรียน ไม่ได้กระจุกอยู่แค่ประวัติศาสตร์ เช่น การเมืองการปกครอง เศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ หน้าที่พลเมือง รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ และถ้าใครที่กำลังคิดว่าเรียนแล้วไม่รู้จะเอามาใช้อะไร อยากให้ลองคิดใหม่นะเพราะความจริงแล้ว รอบๆ ตัวเราทั้งหมด คือ เรื่องที่อยู่ในวิชาสังคมทั้งนั้น (ไม่งั้นเค้าจะเรียกว่าวิชาสังคมทำไม)
เด็กดีดอทคอม :: เรียนสังคมให้เก่ง ไม่ใช่เรื่องยาก !!

 









           
เพื่อให้เห็นภาพจะลองยกตัวอย่างเรื่อง "น้ำท่วม"ที่ผ่านมามีทั้งเรื่องมิประเทศ การจัดการทรัพยากร โยงเข้าประวัติศาสตร์ได้หน่อยๆ ว่า ประเทศไทยไม่เคยน้ำท่วมหนักขนาดนี้ ต่อมาพอน้ำท่วมแล้ว ก็มีการประท้วงเรียกร้อง ขอความช่วยเหลือต่างๆ ในแง่นี้ก็สามารถมองได้ว่าเป็นเรื่องของกฎหมาย ความเป็นประชาธิปไตย เมื่อน้ำท่วมแล้ว สินค้าขาดตลาด สินค้าราคาแพงขึ้น อันนี้ก็โยงเข้าเศรษฐศาสตร์ สมดุลทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญยังเข้าเรื่องการเมืองได้ด้วย เพราะรัฐบาลจะต้องวางโครงสร้างหรือแก้ปัญหาให้เสร็จสิ้น เห็นมั้ยว่าถ้ามองกันจริงๆ วิชาสังคมเป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด หยิบจับอะไรมา ก็เอามาเป็นประเด็นศึกษาในวิชาสังคมได้หมด ถ้าน้องๆ ทำได้แบบนี้ ทุกเรื่องที่อยู่บนโลกจะกลายเป็นเรื่องสนุกไปเลยล่ะ

นอกจากเรื่องเนื้อหาเยอะล้นโลกแล้ว อีกสาเหตุที่ทำให้น้องๆ ไม่ชอบวิชานี้ ก็เป็นที่ข้อสอบ ทั้งยาก ทั้งเยอะ โดยลักษณะข้อสอบสังคม มีดังนี้
           

 - อาศัยความจำ เช่น พิธีสารโตเกียวมีไว้ทำอะไร ประเทศไหนไม่อยู่ในอาเซียน เป็นต้น 
 - โจทย์ยาว หรือไม่ก็คำตอบยาว บางข้อที่โจทย์ยาว คำตอบจะสั้น แต่ถ้าข้อไหนโจทย์สั้นล่ะก็นะ คำตอบช้อละ 2 บรรทัดเป็นอย่างต่ำ           
- เอาทุกอย่างที่เรียนมาวิเคราะห์ เช่น อยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 2 ด้วยสาเหตุใด ซึ่งช้อยจะไม่ได้ออกทุกคำตามหนังสือหรอก แต่อาจารย์จะสับขาหลอกพวกเรา เปลี่ยนประโยค ใช้ภาษาคนละแบบ หลักๆ เราก็ต้องจำและวิเคราะห์ให้ได้           
- เอาสถานการณ์ปัจจุบันนี่แหละมาออกข้อสอบ บางเรื่องก็ไม่ได้อยู่ในหนังสือเรียนเลย แต่ดันออกเยอะกว่าในหนังสืออีก ก็เพราะข้อสอบแบบนี้นี่เอง ที่ไม่เคยมีใครทำได้คะแนนเต็มซักคน!!!
เมื่อดูจากลักษณะข้อสอบ และปัญหาแล้ว  ขอเสนอวิธีที่จะทำให้น้องๆ เก่งสังคมขึ้นมาได้ ลองนำไปใช้ดูนะคะ ดูข่าวบ่อยๆ ช่วยได้เยอะ บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าข้อสอบมักจะมีสถานการณ์ปัจจุบันแซมๆ เข้าไปด้วย ก็วิชาสังคมนี่นะ ต้องรู้และทันกับสถานการณ์ของสังคมปัจจุบัน ถึงจะทำได้คะแนนดี ใครที่เอาแต่ท่องหนังสือ แต่ไม่เคยดูข่าวเลย ก็อาจจะต้องตกม้าตายได้ อีกอย่างการเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว จะทำให้การเรียนสนุกขึ้น เพราะร้อยทั้งร้อยอาจารย์จะชวนคุย และนั่งวิเคราะห์กัน บางทีอาจารย์ก็ลืมเรื่องในตำราไปเลย และเชื่อเถอะว่าสถานการณ์สำคัญๆ ในปัจจุบันจะต้องไปอยู่ในหนังสือในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน ดังนั้นทุกเย็นหลังละครจบ หรือก่อนละครภาคค่ำ ก็ลองหันมาดูข่าวกันซักนิด เผื่อจะติดใจ
เด็กดีดอทคอม :: เรียนสังคมให้เก่ง ไม่ใช่เรื่องยาก !!

เปลี่ยนทัศนคติ "วิชาสังคม" เป็นเรื่องใกล้ตัว สำคัญและจำเป็น
หลายคนไม่เห็นว่าวิชาสังคมจะจับต้องได้แถมยังเป็นเรื่องไกลตัว เข้าใจยาก อยากให้น้องๆ ลองเปลี่ยนทัศนคติ มองให้เห็นว่าวิชาสังคมเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ และสำคัญมากด้วย ไม่อย่างนั้นเค้าไม่ให้เราเรียนมาเป็นสิบๆ ปีหรอกค่ะ เช่น การเรียนเรื่องฤดูกาลของประเทศ จะหนาว จะร้อน เราสัมผัสได้ทั้งนั้น หรือ เรื่องหน้าที่พลเมือง ถ้าถึงเวลาเลือกตั้ง เราก็ต้องไปเลือกตั้ง ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียสิทธิ์ทางการเมืองหลายอย่าง เป็นต้น
ขอคอนเฟิร์มว่า ความรู้ในวิชาสังคมหลายอย่างเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของเราทุกวันค่ะ ที่สำคัญยังเป็นวิชาที่ใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลายสาขาด้วย



หาหนังสืออ่านเสริมหรือหาสื่ออื่นๆ มาเสริมความรู้ บางคนไม่อยากอ่านหนังสือวิชาสังคมเลย เพราะไม่สนุก มีแต่เนื้อหา บทนึงเป็นร้อยๆ หน้าปัญหานี้แก้ง่ายมากๆ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีหนังสือทั้งชีวประวัติ ประวัติศาสตร์ หรือสังคมด้านอื่นๆ ที่มาในรูปแบบการ์ตูน อ่านง่าย พี่มิ้นท์ว่าช่วยได้เยอะค่ะ การทำเป็นการ์ตูนทำให้เราจำทั้งภาพและเนื้อหาได้แทบจะฝังอยู่ในหัวเลย นอกจากนี้ยังมีสื่อประเภทภาพยนตร์ แนวอิงประวัติศาสตร์ ที่ไม่ได้มีแค่ของไทยเพียงอย่างเดียว เพราะเรายังสามารถรู้อารยธรรมของต่างชาติได้ด้วย เห็นมั้ยว่า วิชาสังคม เป็นเรื่องสนุก การปรับเปลี่ยนวิธีรียนให้มาเป็นวิธีนี้ทั้งสนุก ทั้งได้ความรู้เลยล่ะ^^

หัดเชื่อมโยงและวิเคราะห์ให้เป็นเรื่องสนุก ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ เวลาเราดูข่าวหรือกำลังเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งลองเชื่อมโยงกับความรู้เก่าๆ ในหัว จะช่วยให้เราจำหลายๆ เรื่องได้แม่นขึ้น เพราะเราได้เชื่อมโยงทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน จำก็จำได้หมด ลืมก็ลืมหมด (เอ้ย! ไม่ใช่) เช่น เรียนเรื่องประวัติศาสตร์อยุธยา ลองเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์สุโขทัยดูว่า ก่อนอยุธยาขึ้นมา สุโขทัยเป็นยังไง เป็นต้น พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เราจะสนุกไปกับมันแน่นอน


ฟังครูสอนให้เข้าหู ถ้าอาจารย์วิชาสังคม เป็นคนที่สอนสนุก แนะนำว่าให้ตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ เพราะเราจะได้อะไรดีๆ เยอะเลย เพราะเนื้อหาที่มีผสมกับลีลาท่าทางการเล่า จะทำให้เรื่องน่าเบื่อกลายเป็นนิยายขึ้นมาได้ ซึ่งจะเข้าใจกว่าอ่านด้วยตัวเองอีกด้วย

ความท้าทายของวิชาสังคม อยู่ที่ "การเข้าถึง" "เข้าใจ" และนำมา "ประยุกต์ใช้" ให้เป็น เพิ่มอีกอย่าง ขอแค่ "สนุก" ไปกับมัน เรื่องยากๆ จะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที ดังนั้นหลักใหญ่ๆ ของการเรียนสังคมก็คือ การออกมาหาความรู้นอกห้องเรียนนะคะ

ขอขอบคุณข้อแนะนำดี ๆ จาก Dek-d.comนะคะ

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

Admission on tour@Thawara

สวัสดีค่ะ....สำหรับบรรยากาศสนุก ๆ กับความรู้และสาระมากมาย...ที่นักเรียนได้รับจากพี่ลาเต้...
ในวันที่ 5 มกราคม 55 ที่ผ่านมา..งานแนะแนวหวังว่า..ลูกถาวราฯที่เข้าฟังในวันนั้นคงได้รับประโยชน์มากนะคะ....แล้วอย่าลืมติดตามความเคลื่อนไหวทางการศึกษาในเว็บเด็กดีดอทคอมกันต่อไป  งานแนะแนวจะนำสิ่งดี ๆ เหล่านี้มาฝากลูกถาวรากันอีกในโอกาสต่อ ๆ ไปค่ะ....สำหรับน้องๆ ม.4 ไม่ต้องเสียใจ  เราจะพยายามติดต่อพี่ลาเต้...มาอีกให้ได้ค่ะ...








วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

17 ความจริงเกี่ยวกับคณะวิศวกรรมศาสตร์


ช่วงนี้พี่ใหญ่อย่าง ม.6 หลายๆคนคงเริ่มเก็บตัวซุ่มซ้อมอ่านหนังสือกันแล้ว.. แอดมิชชั่น ครั้งเดียวในชีวิต ทำให้เต็มที่..แต่นอกจากความรอบรู้ในห้องเรียน และเนื้อหาที่สอบแล้วก็คงจะไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จในการแอดมิชชั่นได้ เพราะยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คือ การรู้จักตัวเอง..
17 ความจริงเกี่ยวกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ (ใครที่คิดเรียนอาจเปลี่ยนใจได้ถ้าอ่านข้อความต่อไปนี้ )
1.สอบเข้ามาได้แล้วก็ไม่ได้พิเศษกว่าคนอื่นๆ ก็ยังเป็นคนเหมือนๆกับคณะเกษตร คณะแพทย์
2.เข้ามาง่าย ก็ออกง่าย หมายถึงโดนรีไทล์ นี้เป็นเรื่องจริงคณะวิศวกรรมศาสตร์ มีการออกของนักศึกษาทุกปี บางที่มาก บางที่น้อย หรือบางที่ก็ไม่มี ส่วนใหญ่จะเป็นปี1 ปี2 ปี 3
3.จบน้อยมาก ประมาณว่าเข้าไป 100 กว่าจบตรงตามหลักสูตรไม่ถึง 50 คน
4.ภายในคณะมีตั้งแต่ลูกคุณหนูจนถึงลูกชาวนา
5.หน้าตาตั้งแต่แบบดารานายแบบนางแบบจนถึงดูไม่ได้
6.มีตั้งแต่คนที่เก่ง ฉลาดที่สุด ไปจนถึงคนที่ช่างไมรู้อะไรบ้างเลย ไม่รู้ว่าเข้ามาได้ไง
7.
จบมาเกือบ100%ทำงานของเอกชน
8.การแข่งขันสูงมาก สูงจริงๆ ตั้งแต่สอบเข้าเรียน เข้าทำงาน จนถึงขณะที่ทำงาน

<> <>
9.เงินเดือนตั้งแต่ xx,xxx-xxx,xxx แต่ x,xxx,xxx ไม่รู้ว่ามีไหม ยังไม่เคยเห็น เงินเดือนยิ่งสูงความสามารถยิ่งต้องมากตาม
10.จบออกมา เกรดต่ำกว่า 2.0-2.5 มีโอกาสที่จะได้เดินเตะฝุ่นสูง (ตกงาน) 11.ถ้าได้เกียรตินิยม รับประกันได้ว่ามีงานทำ (เอากันได้ง่ายๆก็ดีซิ)
12.สังคมคาดหวังไว้สูงมาก แบบว่าสร้างตึกแล้วตึกถล่ม ต้องเข้าตารางซะโดยดี (คำขวัญ:เซ็นชื่อ รับตัง ติดคุก)
13.จะบูมเมื่อเศรษฐกิจดี ถ้าเศรษฐกิจดีความต้องการก็สูง แล้วถ้าไม่ดีล่ะ
14.ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี เช่นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ในโรงงานคนที่ได้รับซองขาวคนแรกคือวิศวกร (พูดว่าโดนให้ออกเป็นคนแรกง่ายกว่า)
15.ไม่เก่งจริงก็มีโอกาสตกงาน (ยกเว้นในสาขาที่กำลังขาดแคลน) เพราะการแข่งขันสูง ลองคิดดูว่าแต่ละสถาบันรับเข้าไปเป็นจำนวนเท่าไหร่ แต่ภาคอุตสาหกรรมรับได้ไม่หมดหรอก
16.จบมาสอบ ใบ กว. ไม่ได้ก็ไปขายก๋วยเตี๋ยว (ขายแอมเวย์ก็ได้)
17.อาชีพนี้อาศัยความทะเยอทยานสูง (ความก้าวหน้าในอาชีพการงานแปรผันตรงกับ ความทะเยอทยาน)


ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากพี่ลาเต้ www.dek-d.com
และวันที่ 5 ม.ค.55 พบกับพี่ลาเต้และคณะจากเว็บdek- d.com on tour ที่โรงเรียนถาวรานุกูลค่ะ