ผู้เขียนได้อ่านเจอเรื่องน่าสนใจของ ดร.อาจอง ชุมสาย จากสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ เรื่องนิทานสีขาว ขอนำมาเล่าต่อเพื่อเป็นข้อคิดดี ๆ สำหรับการใช้ชีวิตของพวกเราในยุคนี้ค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า แมลงวันตัวหนึ่งไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งเที่ยวบินเร่ร่อนหาของกินไปทั่ว และไม่ได้คิดถึงอะไรมากนัก นอกจากคิดว่าตนเองมีความสุขสบายดีแล้วที่มีชีวิตแบบนี้ เพราะเป็นผู้ไม่มีภาระและไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย วันหนึ่งแมลงวันตัวนี้บินเตร็ดเตร่ไปหาของกินแล้วพบฝูงมดง่ามฝูงหนึ่งกำลังขนอาหารไปสู่รังอย่างขะมักเขม้น แมลงวันปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน มดง่ามตัวหนึ่งได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามแมลงวันว่า “มีใครในหมู่พวกเรา ทำให้ท่านขบขันถึงปานนั้นหรือ” แมลงวันร้องบอกอย่างเย้ยหยัน “ข้ามิได้ขบขันผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่ท่าน แต่ข้าพเจ้ารู้สึกเวทนาในชะตาชีวิตของพวกเจ้ามากกว่าที่พวกท่านต้องทำงานอยู่ตลอดเวลาจึงจะมีอาหารประทังชีวิต ผิดกับตัวข้าพเจ้าที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่สามารถหาอาหารมาปรนเปรอกระเพาะได้ตลอดเวลา”
มดง่ามตอบ “ชะตาชีวิตของพวกเราทำให้ท่านรู้สึกอย่างนั้นหรือ...ผิดแล้วล่ะ ท่านต้องคิดกลับกันต่างหาก เพราะการทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทำให้ชีวิตของพวกเรามีคุณค่าเป็นที่ประจักษ์ทั้งตัวเราเองและผู้อื่น แต่ข้าพเจ้าก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่า สำหรับท่านซึ่งทำตนเสมือนอยู่ไปวัน ๆ นั้นคงไม่รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของผู้อื่นหรอก เพราะแม้แต่ตัวท่านเอง ยังทำตนให้เกิดคุณค่าใด ๆ มิได้เลย” หลังจากฟังมดง่ามพูด แมลงวันผู้หยิ่งผยองก็บอกเล่าความเหนือกว่าและความมีบุญวาสนาของตัวเองอีกหลายประการไม่ว่าจะการได้ไปบินวนรอบ ๆ ที่บูชา วิหารเทพเจ้า ได้มีโอกาสลิ้มรสเครื่องในตับไตไส้พุงของเครื่องเซ่นสรวงในวิหาร และยังมีโอกาสบินว่อนไปเกาะเศียรของกษัตริย์ ซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวของผู้คนทั่วแผ่นดิน รวมทั้งจุมพิตริมฝีปากสาวบริสุทธิ์ทุกคนได้ตามที่ต้องการ “และสุดท้าย ขอย้ำให้ท่านฟังอีกครั้งหนึ่งว่า ข้าพเจ้านั้น ไม่ต้องดิ้นรนทำงาน แต่ก็มีชีวิตที่โอ่อ่าหรูหราได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหากเปรียบกับตัวท่าน ผู้ที่ฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่าไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะนำมาเทียบกันได้”
มดง่ามนิ่งฟังอย่างสงบ แล้วตอบว่า “แน่ทีเดียว ท่านแมลงวัน...เราต้องภาคภูมิใจเมื่อได้รับประทานอาหารกับเทพเจ้า แต่ก็ต่อเมื่อได้รับการเชื้อเชิญอย่างยินดี ไม่ใช่ถือตนเข้าไปเองโดยไม่มีการต้อนรับ แล้วท่านเคยได้รับการเชื้อเชิญหรือไม่...หรือท่านเคยได้ไปเยือนสถานที่บูชาอย่างนั้นหรือ? อาจเป็นเช่นนั้นได้ แต่ท่านก็ถูกขับไล่ออกมาอย่างรวดเร็ว มิใช่หรือ...หรือเรื่องพระเศียรของกษัตริย์ และริมฝีปากของหญิงสาว แต่ทั้งสองเป็นสิ่งที่ควรปกปิดจากการสัมผัส และแม้แต่เด็กยังรู้ว่าต้องให้ความเคารพ และปฏิบัติกับสิ่งเหล่านั้นอย่างให้เกียรติ แต่ท่านเล่า เหตุใดจึงทำการล่วงละเมิดเช่นนั้นอยู่เป็นนิจ หรือในชีวิตของท่าน ไม่เคยรู้จักกับกาลเทศะและความสงบเสงี่ยม”
“ท่านไม่ทำงานเลยหรือ? ใช่แล้ว เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่า ท่านจึงต้องขาดแคลนบ่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เอง ขณะเมื่อข้าพเจ้าทำงานเก็บไว้กินในฤดูหนาว ข้าพเจ้าเคยแลเห็นท่านเที่ยวหากินตามกองขยะและสิ่งปฏิกูลใกล้ ๆ กำแพงเมือง ซึ่งต้องเสี่ยงเผชิญกับความหนาวเย็นที่อาจจะทำให้ท่านตายได้ทุกเมื่อ...และนั่นคือเหตุผลที่ว่า เหตุใดข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ จึงต้องทำงานกันอย่างหนักในตอนนี้ เพราะอาหารที่พวกเรากำลังขนเข้าไปในรัง จะกลายเป็นเสบียงอาหารชั้นดี ที่ช่วยให้พวกเราอยู่รอดตลอดหน้าหนาวนั้น โดยที่ไม่ต้องออกไปเสี่ยงภัยหนาวอยู่ข้างนอก...” กล่าวจบมดง่ามก็ละความสนใจจากแมลงวันแล้ว กลับเข้ากลุ่มมด เพื่อทำงานตามหน้าที่ตนเองอย่างแข็งขันต่อไป ส่วนแมลงวันนั้นรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก มันรีบบินออกไปไกลจากฝูงมด และไม่เคยกลับมาทางนี้อีกเลย
เรื่องดังกล่าวสอนให้รู้ว่า เราต้องไม่ดูแคลนว่าผู้อื่นต้อยต่ำ แล้วทะนงตนเองว่าสูง เพียงเพราะเห็นว่า ตัวเองมั่งมีสุขสบายกว่าเขา เพราะนั่นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ฉาบฉวยเกินกว่าจะเอามาตัดสินคุณค่าชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งได้ เพราะคนที่สูงส่งจริง ๆ แล้ว เขามักจะอยู่อย่างเจียมตน และไม่อวดอ้างหรอกว่าตนเองอยู่เหนือกว่าผู้อื่น เนื่องจากคนที่สูงส่งที่แท้จริงย่อมทำตนเองให้มีคุณค่ามากพอ จนเกิดความรู้สึกอิ่มเอมในชีวิต และไม่จำเป็นต้องยกตนเพื่อไปเปรียบเทียบหรือคุกคาม ข่มเหงใคร ๆ เพียงเพราะต้องการให้ตนเองดูยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่น เพราะผู้ที่ทำเช่นนี้ไม่ใช่คนที่สูงส่งอะไร แต่เป็นคนต่ำต้อยที่อยากให้ใคร ๆ รู้ว่าตนเองสูงส่งเท่านั้น.
มดง่ามตอบ “ชะตาชีวิตของพวกเราทำให้ท่านรู้สึกอย่างนั้นหรือ...ผิดแล้วล่ะ ท่านต้องคิดกลับกันต่างหาก เพราะการทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทำให้ชีวิตของพวกเรามีคุณค่าเป็นที่ประจักษ์ทั้งตัวเราเองและผู้อื่น แต่ข้าพเจ้าก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่า สำหรับท่านซึ่งทำตนเสมือนอยู่ไปวัน ๆ นั้นคงไม่รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของผู้อื่นหรอก เพราะแม้แต่ตัวท่านเอง ยังทำตนให้เกิดคุณค่าใด ๆ มิได้เลย” หลังจากฟังมดง่ามพูด แมลงวันผู้หยิ่งผยองก็บอกเล่าความเหนือกว่าและความมีบุญวาสนาของตัวเองอีกหลายประการไม่ว่าจะการได้ไปบินวนรอบ ๆ ที่บูชา วิหารเทพเจ้า ได้มีโอกาสลิ้มรสเครื่องในตับไตไส้พุงของเครื่องเซ่นสรวงในวิหาร และยังมีโอกาสบินว่อนไปเกาะเศียรของกษัตริย์ ซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวของผู้คนทั่วแผ่นดิน รวมทั้งจุมพิตริมฝีปากสาวบริสุทธิ์ทุกคนได้ตามที่ต้องการ “และสุดท้าย ขอย้ำให้ท่านฟังอีกครั้งหนึ่งว่า ข้าพเจ้านั้น ไม่ต้องดิ้นรนทำงาน แต่ก็มีชีวิตที่โอ่อ่าหรูหราได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหากเปรียบกับตัวท่าน ผู้ที่ฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่าไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะนำมาเทียบกันได้”
มดง่ามนิ่งฟังอย่างสงบ แล้วตอบว่า “แน่ทีเดียว ท่านแมลงวัน...เราต้องภาคภูมิใจเมื่อได้รับประทานอาหารกับเทพเจ้า แต่ก็ต่อเมื่อได้รับการเชื้อเชิญอย่างยินดี ไม่ใช่ถือตนเข้าไปเองโดยไม่มีการต้อนรับ แล้วท่านเคยได้รับการเชื้อเชิญหรือไม่...หรือท่านเคยได้ไปเยือนสถานที่บูชาอย่างนั้นหรือ? อาจเป็นเช่นนั้นได้ แต่ท่านก็ถูกขับไล่ออกมาอย่างรวดเร็ว มิใช่หรือ...หรือเรื่องพระเศียรของกษัตริย์ และริมฝีปากของหญิงสาว แต่ทั้งสองเป็นสิ่งที่ควรปกปิดจากการสัมผัส และแม้แต่เด็กยังรู้ว่าต้องให้ความเคารพ และปฏิบัติกับสิ่งเหล่านั้นอย่างให้เกียรติ แต่ท่านเล่า เหตุใดจึงทำการล่วงละเมิดเช่นนั้นอยู่เป็นนิจ หรือในชีวิตของท่าน ไม่เคยรู้จักกับกาลเทศะและความสงบเสงี่ยม”
“ท่านไม่ทำงานเลยหรือ? ใช่แล้ว เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่า ท่านจึงต้องขาดแคลนบ่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เอง ขณะเมื่อข้าพเจ้าทำงานเก็บไว้กินในฤดูหนาว ข้าพเจ้าเคยแลเห็นท่านเที่ยวหากินตามกองขยะและสิ่งปฏิกูลใกล้ ๆ กำแพงเมือง ซึ่งต้องเสี่ยงเผชิญกับความหนาวเย็นที่อาจจะทำให้ท่านตายได้ทุกเมื่อ...และนั่นคือเหตุผลที่ว่า เหตุใดข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ จึงต้องทำงานกันอย่างหนักในตอนนี้ เพราะอาหารที่พวกเรากำลังขนเข้าไปในรัง จะกลายเป็นเสบียงอาหารชั้นดี ที่ช่วยให้พวกเราอยู่รอดตลอดหน้าหนาวนั้น โดยที่ไม่ต้องออกไปเสี่ยงภัยหนาวอยู่ข้างนอก...” กล่าวจบมดง่ามก็ละความสนใจจากแมลงวันแล้ว กลับเข้ากลุ่มมด เพื่อทำงานตามหน้าที่ตนเองอย่างแข็งขันต่อไป ส่วนแมลงวันนั้นรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก มันรีบบินออกไปไกลจากฝูงมด และไม่เคยกลับมาทางนี้อีกเลย
เรื่องดังกล่าวสอนให้รู้ว่า เราต้องไม่ดูแคลนว่าผู้อื่นต้อยต่ำ แล้วทะนงตนเองว่าสูง เพียงเพราะเห็นว่า ตัวเองมั่งมีสุขสบายกว่าเขา เพราะนั่นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ฉาบฉวยเกินกว่าจะเอามาตัดสินคุณค่าชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งได้ เพราะคนที่สูงส่งจริง ๆ แล้ว เขามักจะอยู่อย่างเจียมตน และไม่อวดอ้างหรอกว่าตนเองอยู่เหนือกว่าผู้อื่น เนื่องจากคนที่สูงส่งที่แท้จริงย่อมทำตนเองให้มีคุณค่ามากพอ จนเกิดความรู้สึกอิ่มเอมในชีวิต และไม่จำเป็นต้องยกตนเพื่อไปเปรียบเทียบหรือคุกคาม ข่มเหงใคร ๆ เพียงเพราะต้องการให้ตนเองดูยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่น เพราะผู้ที่ทำเช่นนี้ไม่ใช่คนที่สูงส่งอะไร แต่เป็นคนต่ำต้อยที่อยากให้ใคร ๆ รู้ว่าตนเองสูงส่งเท่านั้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น